วันที่นำเข้าข้อมูล 9 ก.ย. 2562

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565

| 6,034 view

 

สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน
Islamic Republic of Pakistan


 

ข้อมูลทั่วไป

 

ที่ตั้ง
ทิศตะวันตกติดกับอิหร่านและอัฟกานิสถาน
ทิศเหนือติดกับจีน
ทิศตะวันออกติดกับอินเดีย
และทิศใต้ติดกับทะเลอาหรับ

พื้นที่ 796,096 ตารางกิโลเมตร (ไทยมีพื้นที่ราวร้อยละ 75 ของปากีสถาน)

เมืองหลวง กรุงอิสลามาบัด (Islamabad)

เมืองสำคัญ เมืองการาจี (Karachi) เป็นเมืองท่าและศูนย์กลางเศรษฐกิจอยู่ทางใต้ของประเทศ เมืองละฮอร์ (Lahore) เป็นเมืองศูนย์กลางของธุรกิจอุตสาหกรรมอยู่ทางเหนือของประเทศ

ภูมิอากาศ บริเวณส่วนใหญ่ของประเทศอากาศร้อนและแห้งแล้ง ยกเว้นภาคตะวันตกเฉียงเหนือที่อากาศอบอุ่น และภาคเหนือมีอากาศเย็น

ประชากร 172 ล้านคน ประกอบด้วยเชื้อชาติปัญจาบร้อยละ 59 ปาทานร้อยละ 14 ซินด์ร้อยละ 12 บาลูชีร้อยละ 4 และมูฮาเจียร์ (ชาวมุสลิมที่อพยพมาจากอินเดีย) ร้อยละ 8 และอื่นๆ ร้อยละ 3

ภาษา ภาษาอูรดูเป็นภาษาประจำชาติ ส่วนภาษาอังกฤษใช้ในรัฐบาลกลางและแวดวงธุรกิจ และมีการใช้ภาษาท้องถิ่นอื่นๆ อาทิ ปัญจาบี ซินดิ ปาทาน
และบาลูชี

ศาสนา ประชากรร้อยละ 97 นับถือศาสนาอิสลาม (ร้อยละ 77 เป็นนิกายสุหนี่ และ ร้อยละ 21 เป็นนิกายชีอะห์) นอกนั้นมีศาสนาคริสต์ ฮินดู และอื่นๆ รวมร้อยละ 3

วันชาติ วันที่ 23 มีนาคม (Pakistan Day)

ระบอบการปกครอง ประชาธิปไตย

ประมุขของรัฐ ประธานาธิบดี (นายอาซีฟ อาลี ซาร์ดารี (Asif Ali Zadari)) ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551

นายกรัฐมนตรี (นายไซยิด ยูซัฟ ราซา กิลลานี (Syed Yousaf Raza Gilani)) ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2551

การเมืองการปกครอง


1. การเมือง

1.1 ปัญหาการเมืองภายในประเทศ
ในอดีต ปากีสถานอยู่ภายใต้การปกครองของประธานาธิบดี พลเอก เปอร์เวซ มูชาร์ราฟ (Pervez Musharraf) โดยการปฏิวัติ ตั้งแต่ปี 2542 อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดี มูชาร์ราฟ ได้ลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2551 เนื่องจากถูกโจมตีว่าได้อำนาจมาโดยไม่ชอบธรรม และบริหารประเทศโดยควบตำแหน่งผู้นำทางการทหารและเป็นผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ นอกจากนี้ แม้ว่าประธานาธิบดีมูชาร์ราฟจะเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองมีบทบาททางการเมืองผ่านการเลือกตั้งและรัฐสภาแต่ประธานาธิบดีมูชาร์ราฟยังคงไว้ซึ่งอำนาจสูงสุด กอปรกับที่ผ่านมา ประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และชาติตะวันตกได้มองข้ามปัญหาการเมืองภายในปากีสถาน เนื่องจากพอใจกับนโยบายของรัฐบาลประธานาธิบดีมูชาร์ราฟที่ให้ความร่วมมือในการปราบปรามและต่อต้านการก่อการร้ายโดยเฉพาะกลุ่มตาลีบัน
ในดินแดนอัฟกานิสถาน
ภายหลัง พลเอก มูชาร์ราฟ ลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว รัฐบาลผสมภายใต้การนำของพรรค Pakistan’s People Party (PPP) ได้เสนอชื่อนาย อาซีฟ อาลี ซาร์ดารี (Asif Ali Zadari) สามีของนางเบนาซีร์ บุตโต (Benazir Bhutto) อดีตนายกรัฐมนตรีปากีสถาน (ระหว่างปี 2531-2533 และ 2536-2539) ซึ่งต่อมา นางบุตโตถูกลอบสังหารด้วยระเบิดฆ่าตัวตาย เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2551 ทั้งนี้ นายซาร์ดารี ได้รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นและได้ทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551 โดยนับตั้งแต่เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี นายซาร์ดารีดำเนินนโยบายไม่แก้แค้นคู่แข่งทางการเมืองเช่นในอดีต แต่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาอาหาร สินค้าและพลังงานมี ราคาแพง ในส่วนของพรรคการเมืองสำคัญอื่นๆ ของปากีสถาน บุคคลที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองอีกคน คือ นายนาวาซ ชารีฟ (Nawaz Sharif) อดีตนายกรัฐมนตรีปากีสถาน ที่ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2533-2536 และปี 2541-2542 ปัจจุบันนายชารีฟดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านปากีสถานและประธานพรรค Pakistan Muslim League-Nawaz (PML-N) ซึ่งเคยเป็นพรรคร่วมรัฐบาลใหญ่เป็นอันดับ 2 ของรัฐบาลผสมภายใต้การนำของพรรค PPP แต่ต่อมา นายชารีฟได้ประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2551 ขณะที่รัฐบาลปากีสถานชุดปัจจุบันภายใต้การนำของประธานาธิบดีซาร์ดารีมีท่าทีที่ประนีประนอมกับอดีตประธานาธิบดีมูชาร์ราฟและฝ่ายกองทัพ
สถานการณ์การเมืองภายในปากีสถานมีความวุ่นวายมากขึ้น โดยเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552 ศาลฎีกาปากีสถานตัดสินให้ตัดสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งของนายนาวาซ ชารีฟ และพ้นหน้าที่ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน เนื่องจากนายชารีฟเคยถูกตัดสินว่ากระทำความผิด (ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี)ในการสั่งการห้ามไม่ให้เครื่องบินซึ่งมีพลเอกมูชาร์ราฟ (ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก) เดินทางมาด้วยบินกลับเข้าประเทศปากีสถาน ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว นายชารีฟ จึงถูกยึดอำนาจโดยการก่อรัฐประหารของพลเอกมูชาร์ราฟ เมื่อปี 2542 อนึ่ง คำสั่งศาลฎีกาในการตัดสิทธิทางการเมืองของนายชารีฟดังกล่าวได้นำไปสู่การชุมนุมประท้วงทั้งในกรุงอิสลามาบัดและแคว้นปัญจาบซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของนายชารีฟ
และพรรค PML-N อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2552 รัฐบาลปากีสถานได้แสดงความประนีประนอมเพื่อลดกระแสกดดันทางการเมือง โดยยอมให้พรรค PML-N บริหารรัฐปัญจาบต่อไป พร้อมทั้งคืนตำแหน่งประธาน ศาลสูงสุดให้นายอิฟติคการ์ มูฮัมหมัด โชดรี (Iftikhar Muhammad Chaudhry) ซึ่งถูกปลดจากตำแหน่งในสมัยประธานาธิบดีมูชาราฟ โดยหลายฝ่ายมองว่าการกระทำดังกล่าวของรัฐบาล ก็เพื่อเรียกคะแนนนิยมของพรรค PPP กลับมา ภายหลังเกิดความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีซาร์ดารีกับนายกรัฐมนตรียูซาฟ ราซา กิลลานี (Yousaf Raza Gilani) และกลุ่มเครือญาติของอดีตนายกรัฐมนตรี เบนาซีร์ บุตโต สืบเนื่องจากการที่พรรคถูกโจมตีว่ามีท่าทีรอมชอมกับอดีตประธานาธิบดีมูชาราฟ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 นายโชดรี ประธานศาลสูงสุด พร้อมองค์คณะผู้พิพากษาศาลสูงสุด รวม 14 คน ได้ตัดสินคดีที่มีผู้ร้องขอให้พิจารณาความชอบด้วยกฎหมาย ในการแต่งตั้ง ผู้พิพากษาศาลสูงสุดตามกฎหมายรัฐธรรมนูญเฉพาะกาล (Provisional Constitution Ordinance – PCO) ที่ประกาศใช้
เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2551 ในสมัยอดีตประธานาธิบดีมูชาราฟ โดยศาลได้ตัดสินให้การดำเนินการและข้อตัดสินใดๆ ก็ตามของอดีตประธานาธิบดีมูชาราฟ ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งเป็นผลมาจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญเฉพาะกาล (PCO) แทนรัฐธรรมนูญฉบับปี ค.ศ. 1973 (2516) เป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและให้ถือเป็นโมฆะตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้น คำสั่งของอดีตประธานาธิบดีมูชาราฟในการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุด ประธานศาลสูงสุด และผู้พิพากษาศาลสูง จำนวนทั้งสิ้น 76 คน ให้ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวก่อนวันที่ 3 พฤศจิกายน 2551 ที่ถูกสั่งให้พ้นจากหน้าที่ภายใต้ PCO จึงถือว่า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้ถือเสมือนว่าตำแหน่งเหล่านั้นไม่เคยได้ว่างลง อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2552 ศาลสูงสุดแห่งปากีสถานได้ออกมาประกาศว่า ผลจากการพิพากษาของศาลฯ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2552 จะไม่ส่ง ผลกระทบใดๆ ต่อตำแหน่งประธานาธิบดีของนายซาร์ดารี ซึ่งสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2552 โดยมีนายอับดุล ฮามีด โดการ์ (Abdul Hameed Dogar) ซึ่งเป็นประธานศาลสูงสุดที่ได้รับแต่งตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญเฉพาะกาล เป็นประธานในพิธีก็ตาม
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2552 ศาลฎีกา โดยองค์คณะผู้พิพากษาเต็มคณะ จำนวน 17 คน นำโดยนายโชดรี ประธานศาลสูงสุด ได้มีคำวินิจฉัยตัดสินระบุให้กฎหมายสมานฉันท์แห่งชาติ (National Reconciliation Ordinance – NRO) ซึ่งออกโดยอดีตประธานาธิบดีมูชาร์ราฟ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2550 เพื่อให้โอกาสนักการเมืองที่มีคดีความเกี่ยวกับการทุจริตสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งทั่วไปของปากีสถาน เมื่อต้นปี 2551 เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และต้องเป็นโมฆะมาตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้น การดำเนินการหรือคำสั่งใดๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้กฎหมาย NRO ซึ่งรวมถึงการระงับการดำเนินคดีความต่อบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามกฎหมาย ให้ถือด้วยว่าไม่เคยเกิดขึ้นและ
ไม่มีผลทางกฏหมาย คดีความต่างๆ ที่เคยถูกวินิจฉัย สอบสวน แต่ได้ถูกระงับไว้ภายใต้ประกาศ NRO ซึ่งมีจำนวนประมาณ 8,000 คดี ก็ให้กลับมาดำเนินคดีใหม่ โดยให้มีสถานะกลับไปเหมือนดังที่เคยเป็นก่อนวันที่ 5 ตุลาคม 2550
ผลจากคำพิพากษาดังกล่าว ทำให้ประธานาธิบดีซาร์ดารี รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ในรัฐบาลปากีสถานปัจจุบัน อาทิ นายราห์มาน มาลิก (Rahman Malik) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอะห์หมัด มุคตาร์ (Ahmad Mukhtar) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนักการเมืองจำนวนมากโดยเฉพาะที่สังกัดพรรครัฐบาล ตลอดจนข้าราชการระดับสูง อยู่ในข่ายต้องถูก
กลับมาดำเนินคดีอีกครั้งหนึ่ง โดยขณะนี้ สำนักงานการตรวจสอบแห่งชาติ (The National Accountability Bureau – NAB) อยู่ระหว่างการยื่นเสนอรายชื่อผู้ที่อยู่ในข่ายต้องถูกรื้อฟื้นการดำเนินคดี (exit control list) ซึ่งคาดว่ามีจำนวน 247 คน ให้แก่รัฐบาลเพื่อดำเนินคดีต่อไป ขณะที่ประธานาธิบดีซาร์ดารี ซึ่งก่อนวันที่ 5 ตุลาคม 2550 เคยถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการฟอกเงินจำนวนกว่า 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านธนาคาร ในสวิตเซอร์แลนด์ ยังคงจะได้รับความคุ้มกันจากการถูกดำเนินคดี เนื่องจากดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญปากีสถาน

1.2 ปัญหากลุ่มก่อการร้ายภายในประเทศ
ที่ผ่านมา รัฐบาลปากีสถานดำเนินยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหากลุ่มตาลีบันและการก่อการร้ายตามแนวชายแดนปากีสถานกับอัฟกานิสถาน โดยได้รับความช่วยเหลือและความร่วมมือด้านการทหารจากสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยนายกรัฐมนตรี กิลลานี ได้ประกาศสงครามกวาดล้างกลุ่มก่อการร้ายอย่างเต็มรูปแบบ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2552 โดยเฉพาะการปราบปรามกลุ่มหัวรุนแรง/ตาลีบันในหุบเขา Swat รัฐ North West Frontier Provinces - N.W.F.P. และเมือง Waziristan ในรัฐบาโลจิสถาน ตลอดจนพื้นที่ใกล้เคียง โดยเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2552 เจ้าหน้าที่ระดับสูงของปากีสถานและสหรัฐฯ ได้ยืนยันว่า นายไบตุลลอฮ์ มาห์ซุด (Baitullah Mahsud) หัวหน้ากลุ่มตาลีบันปากีสถาน (Tehrik-e-Taliban Pakistan) หรือ TTP ซึ่งเป็นองค์กรหลัก (umbrella) ที่มีกลุ่มตาลีบันอยู่ภายใต้สังกัด จำนวน 13 กลุ่ม ได้ถูกสังหารโดยการทิ้งระเบิดของเครื่องบินแบบไร้ผู้ขับขี่ (drone) ของสหรัฐฯ ในบ้านที่หลบซ่อนในเขต South Waziristan
สถานการณ์ความมั่นคง/การสู้รบ ภายในประเทศปากีสถานมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นตามลำดับ โดยเมื่อเดือนตุลาคม 2552 กองทัพปากีสถานได้ส่งกำลังทหาร จำนวน 20,000 -25,000 นาย เพื่อปฏิบัติการกวาดล้างกองกำลังตาลีบันในเขต South Waziristan ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถานติดกับชายแดนอัฟกานิสถานและเป็นฐานที่มั่นสำคัญของกลุ่ม TTP ซึ่งมีผู้นำตาลีบันปากีสถาน
คนปัจจุบัน คือ นายฮากิมุลลอฮ์ มาห์ซุด (Hakimullah Mahsud) สืบต่อจากนายมาห์ซุด ผู้นำคนก่อนที่เสียชีวิต ทั้งนี้ มีรายงานข่าวกรองระบุว่า เครือข่ายการก่อการร้ายในปากีสถานกว่าร้อยละ 80 มาจากพื้นที่เขต South Waziristan ขณะที่กองทัพปากีสถานประกาศว่าสามารถเข้าควบคุมพื้นที่บางส่วนในเขตดังกล่าวได้แล้ว และจะรุกคืบเข้าพื้นที่ควบคุมของตาลีบันต่อไป อย่างไรก็ดี กองทัพปากีสถานจะไม่โจมตีฐานที่มั่นของผู้นำ
ตาลีบัน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มนายฮาฟีซ กุล บาฮาดาร์ (Hafiz Gul Bahadar) และกลุ่มนายโมลาวี นาซีร์ (Maulavi Nazeer) ซึ่งต่างเป็นกลุ่มตาลีบันที่สนับสนุนรัฐบาลปากีสถาน
แม้ว่าในช่วงต้นของการปฏิบัติการ รัฐบาลปากีสถานคาดการณ์ว่า ปฏิบัติการดังกล่าวจะสำเร็จลุล่วงได้ภายใน 6 - 8 สัปดาห์ อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา ปฏิบัติการของกองทัพปากีสถานดูจะไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ได้คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยป่าเขาสลับซับซ้อน ทำให้ยากต่อการควบคุม
ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ขณะที่นักรบตาลีบันมีความคุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศเป็นอย่างดี กอปรกับสภาพภูมิอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย รวมทั้งตาลีบันยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่ ดังนั้น ภายหลังเดือนตุลาคม 2552เป็นต้นมา กลุ่มตาลีบันได้ตอบโต้ปฏิบัติการ Rah-e-Nejat ของทางการปากีสถานอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง โดยเน้นการโจมตีสถานที่ราชการและแหล่งชุมชน โดยเฉพาะตลาดและมัสยิด ทั้งในเมืองหลวงและเมืองใหญ่ เช่น กรุงอิสลามาบัด เมืองการาจี และราวัลปินดี รวมทั้งที่ทำการ World Food Program (WFP) และมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติกรุงอิสลามาบัด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในปากีสถานมีอย่างต่อเนื่องโดยไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดเหตุในเวลาและสถานที่ใด

2. เศรษฐกิจ
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ปากีสถานมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายเปิดประเทศ พร้อมกับรับความช่วยเหลือจากประเทศตะวันตก เนื่องจากให้ความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้าย และเป็นผลจากภาคอุตสาหกรรมที่เติบโตขึ้นโดยเฉพาะการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค โทรคมนาคม และการก่อสร้างโครงการใหญ่ๆ ภาคบริการและภาคการเกษตร
อย่างไรก็ดี อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของปากีสถานในช่วงปี 2550-2551 อยู่ที่ร้อยละ 6 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 7.2 และน้อยกว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงก่อนหน้านั้น (ร้อยละ 6.8) การที่อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของปากีสถานมีตัวเลขลดลง มีเหตุผลหลายประการ อาทิ
1) ผลผลิตทางการเกษตรของปากีสถานลดลงเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะฝ้ายซึ่งเป็นสินค้าเกษตรสำคัญและเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอของปากีสถาน 2) ผลผลิตและกำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมหลักของปากีสถานลดลง เนื่องจากปัญหาการผลิตกระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอกับ
ความต้องการภายในประเทศ
3) การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ขาดประสิทธิภาพและความต่อเนื่อง รวมทั้งความสนใจของรัฐบาลในการแก้ไขสภาพเศรษฐกิจที่ไม่จริงจัง เนื่องจากสถานการณ์การเมืองภายในและสถานการณ์ความมั่นคงของประเทศที่ไม่มีเสถียรภาพ
4) ตัวเลขการส่งออกของปากีสถานที่มีอัตราลดลงอย่างต่อเนื่องอันเนื่องมาจากผลผลิตทั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมที่ลดลง
และ 5) ตัวเลขการลงทุนจากต่างชาติที่มีจำนวนลดลงอย่างมหาศาล โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้นซึ่งลดลงจาก 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เหลือเพียง 41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2551
ขณะที่ปัญหาการเมืองภายใน ปัญหาการก่อการร้ายโดยกลุ่มติดอาวุธและกลุ่มหัวรุนแรงที่รุมเร้ารัฐบาลปากีสถาน โดยเฉพาะภายหลังเกิดเหตุระเบิดพลีชีพ ที่โรงแรมแมริออต ใจกลางกรุงอิสลามาบัด เมื่อเดือนกันยายน 2551 เป็นต้นมา ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพลักษณ์และการลงทุนจากต่างประเทศในปากีสถาน
แม้ว่าตลอดมา รัฐบาลปากีสถานจะพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในประเทศโดยเฉพาะ
การแก้ไขปัญหาสภาวการณ์ขาดดุลทางการคลัง การแก้ไขปัญหาราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ราคาพืชผลสินค้าเกษตรตกต่ำ ค่าเงินสกุลรูปีปากีสถานตกต่ำลง เมื่อเปรียบเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ ขณะที่เงินสำรองระหว่างประเทศของปากีสถานยังลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงราวเดือนละ 811-911 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ปากีสถานเคยมีเงินตราสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับต่ำโดยเหลือเพียง 8.832 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ เดือนกันยายน 2551
ดังนั้น ปากีสถานจึงตัดสินใจพึ่งพาความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund – IMF) ทั้งนี้ จากการเจรจาระหว่าง IMF กับรัฐบาลปากีสถาน IMF จะให้เงินกู้แก่ปากีสถาน จำนวนทั้งสิ้น 7.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในกำหนดระยะเวลา 2 ปี โดยส่งมอบเงินงวดแรกให้ในเดือนพฤศจิกายน 2551 จำนวน 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และงวดต่อไป จำนวน 3.5 - 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2552 สำหรับเงินกู้งวดแรก IMF กำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.51 และเพิ่มเป็นร้อยละ 4.5 สำหรับเงินจำนวนที่เหลือ โดยมีกำหนดเริ่มชำระเงิน ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2554 – 2555 จนถึงปี 2558 – 2559 โดยปากีสถานมีพันธกรณีกับ IMF ที่จะต้องดำเนินการ อาทิ ลดการขาดดุลการคลัง (fiscal deficit) ให้เหลือเพียงร้อยละ 4.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โดยขยายอัตราการเก็บภาษี
ต่อ GDP ให้เพิ่มจากร้อยละ 9.6 ในปัจจุบัน ขึ้นเป็นร้อยละ 15 ในอีก 5-7 ปีข้างหน้า ยกเลิกการอุดหนุนด้านพลังงาน และลดการกู้ยืมจากธนาคารกลางและเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ เป็นต้น
นอกจากนี้ ในเวทีการประชุม Pakistan Donors Conference and the Friends of Democratic Pakistan Ministerial Meeting ครั้งที่ 2 ที่กรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2552 ปากีสถานได้รับแจ้งจากประเทศพันธมิตรที่จะให้ความช่วยเหลือ ขณะที่ในเวทีการประชุมสุดยอดสหภาพยุโรป-ปากีสถาน (The EU-Pakistan Summit) ครั้งที่ 1 ที่ กรุงบรัสเซลส์ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2552 ที่ประชุมมีมติสนับสนุนปากีสถานทางด้านการเงินเป็นจำนวนรวม 1.8 พันล้านยูโร
สำหรับการค้าระหว่างประเทศ ปากีสถานประสบกับปัญหาการขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่องเนื่องจากในช่วงปี 2550 - 2551 มีปัจจัยด้านต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของปากีสถาน อาทิ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น สถานการณ์การเมืองและความมั่นคงภายในประเทศที่ขาดเสถียรภาพ ผลผลิตในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมที่ลดลงจึงทำให้ปัญหาการขาดดุลการค้าของปากีสถานมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 2551 มูลค่าการส่งออกสินค้าของปากีสถานเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากผลผลิตของภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตรที่ลดลง (เป็นผลจากการขาดแคลนกระแสไฟฟ้า ราคาน้ำมันและวัตถุดิบที่สูงขึ้น) ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าของปากีสถานสูงขึ้น เนื่องจากต้องนำเข้าน้ำมันและข้าวสาลีจำนวนมากในช่วงที่ภาวะราคาสินค้าทั้งสองในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ ปากีสถานยังต้องนำเข้าสินค้าประเภทน้ำมันเพื่อการบริโภค และเครื่องจักรเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ด้วยเหตุข้างต้น จึงส่งผลให้ปากีสถานขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น อาทิ ในปี 2549 - 2550 ปากีสถานส่งสินค้าออก 17,278.31 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำเข้า 26,989.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขาดดุลการค้า 9,711.14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ในปี 2550-2551 ปากีสถานส่งสินค้าออก21,122.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำเข้า 35,417.33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขาดดุลการค้า 15,294.94 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปัจจุบันปากีสถานได้เริ่มดำเนินนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการกระตุ้นความสนใจต่อแหล่งประวัติศาสตร์และโบราณคดีทางพุทธศาสนาในปากีสถาน โดยเฉพาะที่เมืองตักศิลา ทั้งนี้ ปากีสถานหวังว่า การท่องเที่ยวจะเป็นแหล่งรายได้สำคัญอีกสาขาหนึ่งของประเทศ อย่างไรก็ตาม โครงการนี้เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งยังต้องพัฒนาความพร้อมอีกมากในหลายด้าน

3. การต่างประเทศ
ในภาพรวม ปากีสถานให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ อย่างแข็งขันในสงครามโค่นล้มรัฐบาลตาลีบันในอัฟกานิสถาน และภายหลังการก่อเหตุวินาศกรรมที่อาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ที่นครนิวยอร์ก หรือเหตุการณ์ 9/11 เมื่อปี 2544 ตลอดจนเข้าร่วมการปราบปรามการก่อการร้ายอันเป็นผลจากสงครามดังกล่าว แต่ประเด็นนี้ได้ทำให้กลุ่มการเมืองและกลุ่มต่อต้านต่างๆ โจมตีรัฐบาล เพราะเห็นว่ารัฐบาลดำเนินนโยบายที่เข้าข้างสหรัฐฯ และชาติตะวันตกมากเกินไป นอกจากนี้ยังมีปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคเอเชียใต้ จึงเป็นเหตุผลให้รัฐบาลปากีสถานต้องหันความสนใจมาสู่มิตรประเทศในเอเชียอื่นๆ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางการเมือง เศรษฐกิจอีกด้วย
ในกรอบพหุภาคี ปากีสถานเป็นประเทศสมาชิกของสหประชาชาติ กลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non Aligned Movement - NAM) สมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคเอเชียใต้ (South Asian Association for Regional Cooperation - SAARC) องค์การการประชุมอิสลาม (Organization of Islamic Conferences - OIC) องค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (Economic Cooperation Organization - ECO) และการประชุมว่าด้วยการแสวงหามาตรการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในเอเชีย (Conference on Interaction and Confidence Building Measures in Asia - CICA) นอกจากนั้น ปากีสถานยังเป็นประเทศคู่เจรจาเฉพาะด้าน (Sectoral Dialogue Partner) ของอาเซียน ตั้งแต่ปี 2541 และได้เข้าร่วมในการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ASEAN Regional Forum - ARF) ตั้งแต่ปี 2547 สำหรับความร่วมมือในกรอบพหุภาคีอื่นๆ ได้แก่ ความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue - ACD)
ซึ่งปากีสถานรับผิดชอบในการจัดตั้ง Asian Institute of Standards และได้เป็นเจ้าภาพการประชุม ACD ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 5-6 เมษายน 2548
ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างปากีสถานกับประเทศสำคัญ อาทิ สหรัฐฯ รัฐบาลปากีสถานภายใต้การนำของประธานาธิบดี ซาร์ดารี ได้ให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ อย่างแข็งขันในการต่อต้านและปราบปรามการก่อการร้าย โดยปากีสถานหวังการพึ่งพาสหรัฐฯ ในด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน ขณะที่ในด้านการทหารปากีสถานมีความสำคัญกับสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรที่ช่วยรักษาความมั่นคง
ตามแนวชายแดนด้านที่ติดกับอัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มติดอาวุธตาลีบัน นอกจากนี้ การที่ปากีสถานมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นถึงความพยายามของปากีสถานในการถ่วงดุลความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มใกล้ชิดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการเมืองและความร่วมมือนิวเคลียร์
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีบารัค โอบามา (Barack Obama) ประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวให้ประชาคมโลกเห็นด้วยกับท่าทีสหรัฐฯ ในการแก้ไขปัญหาอัฟกานิสถานอีกครั้ง โดยเชื่อว่าอัฟกานิสถานจะมีเสถียรภาพและความมั่นคงไม่ได้ หากปากีสถานซึ่งเป็นเพื่อนบ้านสำคัญของอัฟกานิสถานยังขาดเสถียรภาพและความมั่นคง เนื่องจากปากีสถานเป็นเป้าหมายที่กลุ่มตาลีบันพยายามเข้ายึดครองเพื่อใข้เป็นฐานในการโจมตีสันติภาพของโลก ดังนั้น สหรัฐฯ จึงพยายามกดดันให้ปากีสถานร่วมสนับสนุนการปราบปรามกลุ่มติดอาวุธในปากีสถาน ซึ่งสหรัฐฯ เชื่อว่า เป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน
กลุ่มติดอาวุธในอัฟกานิสถานด้วย นอกจากนั้น สหรัฐฯ ยังคงโจมตีทางอากาศด้วยเครื่องบินไร้นักบินในพื้นที่ต้องสงสัยว่ามีกลุ่มติดอาวุธในดินแดนปากีสถาน และมีทีท่าว่าจะยังคงโจมตีต่อไป แม้ว่าทางการปากีสถานจะแสดงความไม่พอใจและมีการต่อต้านจากชาวปากีสถานก็ตาม
เมื่อเดือนเมษายน 2552 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ให้คำมั่นแก่ทางการปากีสถานว่า จะให้ความช่วยเหลือที่ไม่ใช่ทางการทหาร (Non-Military Aid) มูลค่า 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเวลา 5 ปี (ค.ศ. 2010-2014) สำหรับโครงการพัฒนาด้านต่างๆ อาทิ โรงเรียน โรงพยาบาล ถนน ความช่วยเหลือด้านการเกษตรและโครงการพัฒนาอื่นๆ ซึ่งความช่วยเหลือนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนบูรณาการ (Comprehensive Plan) ของสหรัฐฯ ที่ต้องการขจัดรากเหง้าของปัญหาการก่อการร้ายในปากีสถาน
โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความยากจนของประชาชนโดยเฉพาะในเขตชนเผ่า (Federally Administered Tribal Areas -FATA) ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนอัฟกานิสถาน และเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มตาลีบัน โดยประธานาธิบดี โอบามา แห่งสหรัฐฯ ได้ลงนาม

ประกาศใช้กฎหมาย Enhanced Partnership with Pakistan Act 2009 เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2552 เสนอโดยวุฒิสมาชิก John Kerry และ Richard Lugar (Kerry - Lugar Act) นอกจากนี้ ในระหว่างการเยือนปากีสถานอย่างเป็นทางการของ นางฮิลลารี คลินตัน (Hilary Clinton) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระหว่าง 28-30 ตุลาคม 2552 เพื่อกระชับความร่วมมือในการต่อต้านการก่อการร้ายและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ โดยสหรัฐฯ ได้ประกาศให้ความช่วยเหลือทางการเงินมูลค่า 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่ปากีสถาน ในการซ่อมบำรุงโรงงานไฟฟ้า และพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และอีก 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับให้เป็นเงินกู้ (micro credit) แก่หญิงยากจนในปากีสถาน อนึ่ง นางคลินตันถือเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่สุดของสหรัฐฯ ในรัฐบาลประธานาธิบดีโอบามาที่เยือนปากีสถาน
สำหรับจีน ปากีสถานมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจีนมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากทั้งสองประเทศต่างมีประเด็นความขัดแย้งกับอินเดีย ทั้งนี้ ประธานาธิบดี ซาร์ดารี แห่งปากีสถานได้เดินทางเยือนจีนเป็นประเทศแรกภายหลังเข้ารับหน้าที่ ระหว่างวันที่ 14-17 ตุลาคม 2551 โดยในระหว่างการเยือน ฝ่ายจีนได้ให้สัญญาจะให้ความช่วยเหลือแก่ปากีสถานในด้านต่างๆ อาทิ ความร่วมมือด้านนิวเคลียร์ ซึ่งได้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างสองประเทศ ทั้งนี้ หลายฝ่ายเชื่อว่า จีนมีความร่วมมือที่ใกล้ชิดกับปากีสถานเพื่อถ่วงดุลกับอินเดียที่กำลังกระชับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ
ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างปากีสถานกับอินเดียมีประเด็นความขัดแย้งสำคัญเกี่ยวกับการแย่งชิงอธิปไตยเหนือดินแดนแคชเมียร์ นับตั้งแต่แยกตัวเป็นเอกราช เมื่อปี 2491 และได้เกิดการแข่งขันการสะสมอาวุธ การผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งนี้ ทั้งสองประเทศเคยมีสงครามใหญ่ 3 ครั้ง ขณะเดียวกัน อินเดียกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของการก่อการร้าย โดยฝ่ายอินเดียเชื่อว่า ปากีสถานมีส่วนให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง อาทิ เหตุระเบิดเป็นระยะในแคว้นแคชเมียร์ เมืองมุมไบ และขยายถึงกรุงนิวเดลี โดยเฉพาะจากเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายยึดรัฐสภาอินเดีย เมื่อธันวาคม 2544 และล่าสุดคือ เหตุการณ์ก่อวินาศกรรมที่เมืองมุมไบ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2551 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตนับร้อยคน ทั้งนี้ กลุ่มก่อการร้ายพร้อมอาวุธครบมือได้เข้ายึดโรงแรมในเมืองมุมไบคือ โรงแรม Oberoi และโรงแรม Taj Mahal โดยกลุ่มก่อการร้ายดังกล่าว ได้พุ่งเป้าการโจมตีไปที่กลุ่มชาวต่างชาติ อาทิ ชาวสหรัฐฯ และอังกฤษ เนื่องจากเมืองมุมไบเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจที่สำคัญของอินเดีย (ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2549 ได้เคยเกิดเหตุวางระเบิดสถานีรถไฟเมืองมุมไบ ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 219 คน บาดเจ็บราว 711 คน) ทางการอินเดียจึงได้เรียกร้องให้ปากีสถานยุติการให้ที่พักพิง
แก่กลุ่มก่อการร้ายดังกล่าว ขณะที่ผู้นำปากีสถานได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของอินเดียอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ อินเดียได้เรียกร้องให้ปากีสถานส่งผู้ต้องสงสัยไปให้อินเดียดำเนินคดีอีกด้วย อนึ่ง จากการที่หนึ่งในกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่อินเดียสามารถจับกุมได้เป็นชาวปากีสถาน จึงยากที่จะปฏิเสธว่า ทางการปากีสถานยังไม่สามารถควบคุมความเคลื่อนไหวของกลุ่มหัวรุนแรงภายในประเทศได้ ซึ่งเหตุดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ดี ปากีสถานได้แสดงท่าทีในทางบวกโดยการให้ความร่วมมือกับสหประชาชาติ และรัฐบาลอินเดียในการประกาศว่า องค์กร Jammaat-Ud-Dawa เป็นองค์กรก่อการร้าย (ซึ่งเชื่อว่าสนับสนุนการก่อการร้ายที่เมืองมุมไบ) และปิดการดำเนินการของกลุ่มฯ


เศรษฐกิจการค้า


ข้อมูลเศรษฐกิจ 2551

ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ 180 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

รายได้เฉลี่ยต่อหัว 1,046 ดอลลาร์สหรัฐ/คน/ปี (ปี 2551)

อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 2.4 (ปี 2551)

มูลค่าการค้าไทย-ปากีสถาน มูลค่า 736 ล้าน USD (ไทยส่งออก 644 ล้าน USD นำเข้า 91 ล้าน USD ได้ดุล 553 ล้าน USD)

สินค้าส่งออกของไทย รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์

สินค้านำเข้าจากปากีสถาน สัตว์น้ำสด แช่เย็น แปรรูปและกึ่ง น้ำมันสำเร็จรูป ด้ายและเส้นใย ผ้าผืน พืชและผลิตภัณฑ์พืช

ทรัพยากรสำคัญ ทรัพยากรน้ำ กระแสไฟฟ้าพลังน้ำ แหล่งก๊าซธรรมชาติ แหล่งเพาะปลูกข้าวและฝ้ายดิบ

อุตสาหกรรมหลัก อุตสาหกรรมสิ่งทอ แปรรูปอาหาร กุ้ง ยารักษาโรค

สินค้าส่งออกที่สำคัญ ฝ้ายดิบ ด้าย เครื่องนอน ข้าว เครื่องหนัง เคมีภัณฑ์

ตลาดส่งออกที่สำคัญ สหรัฐฯ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อัฟกานิสถาน สหราชอาณาจักร เยอรมนี อิตาลี

สินค้านำเข้าที่สำคัญ น้ำมันปิโตรเลียม พลาสติก เหล็กและเหล็กกล้า รถยนต์และอุปกรณ์ประกอบรถยนต์เครื่องจักร

ตลาดนำเข้าที่สำคัญ ซาอุดีอาระเบีย จีน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต สหรัฐฯ ญี่ปุ่น

นโยบายด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน

ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ปากีสถานมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายเปิดประเทศ พร้อมกับรับความช่วยเหลือจากประเทศตะวันตก เนื่องจากให้ความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้าย และเป็นผลจากภาคอุตสาหกรรมที่เติบโตขึ้นโดยเฉพาะการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค โทรคมนาคม และการก่อสร้างโครงการใหญ่ๆ ภาคบริการและภาคการเกษตร ปัจจุบันปากีสถานยังได้เริ่มดำเนินนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการกระตุ้นความสนใจต่อแหล่งประวัติศาสตร์และโบราณคดีทางพุทธศาสนาในปากีสถาน โดยเฉพาะที่เมืองตักศิลา ทั้งนี้ ปากีสถานหวังว่าการท่องเที่ยวจะเป็นแหล่งรายได้สำคัญอีกสาขาหนึ่งของประเทศ อย่างไรก็ตาม โครงการนี้เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งยังต้องพัฒนาความพร้อมอีกมาก

ในปี 2550-2551 อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของปากีสถานอยู่ที่ร้อยละ 6 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 7.2 และน้อยกว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงก่อนหน้านั้น (ร้อยละ 6.8) และตั้งแต่ปี 2550 มูลค่าการส่งออกสินค้าของปากีสถานเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากผลผลิตของภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตรที่ลดลง (เป็นผลจากการขาดแคลนกระแสไฟฟ้า ราคาน้ำมันและวัตถุดิบที่สูงขึ้น) ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าของปากีสถานสูงขึ้น เนื่องจากต้องนำเข้าน้ำมันและข้าวสาลีจำนวนมากในช่วงที่ภาวะราคาสินค้าทั้งสองในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ ปากีสถานยังต้องนำเข้าสินค้าประเภทน้ำมันเพื่อการบริโภค และเครื่องจักรเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยเหตุข้างต้น จึงส่งผลให้ปากีสถานขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น อาทิ ในปี 2549-2550 ปากีสถานส่งสินค้าออก 17,278.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นำเข้า 26,989.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า 9,711.14 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ในปี 2550-2551 ปากีสถานส่งสินค้าออก 20,122.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นำเข้า ๓๕,๔๑๗.๓๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า 15,294.94 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อนึ่ง ระหว่างปี 2550– 2551 ปากีสถานส่งออกสินค้าสิ่งทอไปตลาดต่างประเทศราว 10,354.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราวร้อยละ 50 ของสินค้าที่ส่งออกทั้งหมด

การที่อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของปากีสถานมีตัวเลขลดลง มีเหตุผลหลายประการ อาทิ 1) ผลผลิตทางการเกษตรของภาคเกษตรกรรมปากีสถานลดลงเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะฝ้ายซึ่งเป็นสินค้าเกษตรสำคัญและเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอของปากีสถาน 2) ผลผลิตและกำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมหลักของปากีสถานลดลง เนื่องจากปัญหาการผลิตกระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอกับความต้องกาภายในประเทศ 3) การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพและขาดความต่อเนื่อง รวมทั้งความสนใจของรัฐบาลในการแก้ไขสภาพเศรษฐกิจที่ไม่จริงจังเนื่องจากสถานการณ์การเมืองภายใน และสถานการณ์ความมั่นคงของประเทศที่ไม่มีเสถียรภาพ 4) ตัวเลขการส่งออกของปากีสถานที่มีอัตราลดลงอย่างต่อเนื่องอันเนื่องมาจากผลผลิตทั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมที่ลดลง และ 5) ตัวเลขการลงทุนจากต่างชาติที่มีจำนวนลดลงอย่างมหาศาล โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้นซึ่งลดลงจาก 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เหลือเพียง 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2551 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาการเมือง การก่อการร้ายโดยกลุ่มติดอาวุธและกลุ่มหัวรุนแรงที่รุมเร้ารัฐบาลปากีสถานได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพลักษณ์และการลงทุนจากต่างประเทศในปากีสถาน แม้ว่ารัฐบาลปากีสถานจะได้พยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในประเทศโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาภาวการณ์ขาดดุลทางการคลัง การแก้ไขปัญหาราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ราคาพืชผลสินค้าเกษตรตกต่ำ ค่าเงินสกุลรูปีปากีสถานตกต่ำลง เมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินของประเทศและนักลงทุนระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น การลงทุนต่างประเทศและเงินตราสำรองระหว่างประเทศจึงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงราวเดือนละ 800-900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในที่สุด ปากีสถานต้องกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จำนวนทั้งสิ้น 7.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในกำหนดระยะเวลา 2 ปี

อย่างไรก็ดี ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 เม ย 2552 ญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Pakistan Donors Conference and the Friends of Democratic Pakistan Ministerial Meeting ที่กรุงโตเกียว (โดย ปธน Asif Ali Zardari แห่งปากีสถานเข้าร่วมการประชุมด้วย) ซึ่งจากผลการประชุมดังกล่าว ปากีสถานจะได้รับการสนับสนุนด้านการเงินราว 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และการต่อสู้กับปัญหาการก่อการร้ายในปากีสถาน ทั้งนี้ ญี่ปุ่นโดย นรม Taro Aso เห็นว่า ปากีสถานเป็นด่านหน้าสำคัญในการต่อสู้กับปัญหาการก่อการร้ายและว่า หากไม่มีความมั่นคงในปากีสถานก็จะไม่มีความมั่นคงในอัฟกานิสถานด้วยเช่นกัน